ปอท. รวบ 8 ใน 13 เเชร์ข่าวปลอม​ กุข่าว นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ อยู่เบื้องหลังทำร้าย​ จ่านิว

พล.ต.ต.ไพบูลย์ น้อยหุ่น ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บก.ปอท. แถลงข่าวการปฏิบัติการรวบผู้แชร์ข่าวในลักษณะที่สร้างความเสียหายต่อบุคคลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนกในสังคมอย่างกว้างขวาง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ”เจ๊แน๊ต สุชานันท์” ได้นำเข้าข่าวในลักษณะที่สร้างความเสียหายต่อบุคคลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และก่อให้เกิดความสับสน ตื่นตระหนกในสังคมอย่างกว้างขวาง โดยมีใจความว่า “เรื่องใหญ่ที่ท่านผู้การกองปราบ พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ต้องเเก้ปัญหา..ที่มีตำรวจชั้นประทวนในสังกัด "กองปฏิบัติการพิเศษ กองปราบ 4 คน ไปช่วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. เคยคุมกองปราบมาก่อน เลี้ยงตำรวจโจรในกองปราบไว้ใช้ ได้ก่อเหตุไปดักตีหัว "จ่านิว" และ "ฟอร์ด" กลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านเผด็จการ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เป็นลูกน้องเเขนซ้ายของ พล.ต.อ.ประวิตร นั่นเอง และ 'รองช้าง' หรือ พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย หัวหน้าแก็งค์สีกากี ตามประทืบนักกิจกรรม เอกชัย, ฟอร์ด, จ่านิว ซึ่งข่าวดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง และเข้าข่ายบิดเบือนหรือเป็นความเท็จ เป็นเหตุให้  พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย และประชาชนทั่วไปเกิดความสับสนตื่นตระหนก อันเป็นความผิดในข้อหา “นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน” ตาม ม.14(2) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. ในฐานะโฆษก บก.ปอท. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562  ทาง บก.ปอท. ได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาซึ่งเป็นผู้แชร์ข่าว อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จำนวน 13 ราย และมีผู้มาพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา จำนวน 8 ราย สำหรับการแชร์ข่าวปลอมนั้นมีเพียง 2 ประเด็น คือ แชร์เพียงสร้างผลประโยชน์ และแชร์เพื่อสร้างความเกลียดชังและความสับสน โดยจะใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง และข้าราชการ ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการแชร์เพื่อให้เกิดความสับสน จากการสอบพบว่า ทั้ง 13 บัญชีนั้น มี 3-4 บัญชีเป็นบัญชีอวตาร ไม่มีการแสดงตัวตน 

โฆษก บก.ปอท. กล่าวว่า จากการสอบปากคำพบว่า ทั้ง 8 คน ให้การภาคเสธว่า แชร์ข่าวดังกล่าวจริง แต่ไม่ทราบว่า ข่าวนั้นเป็นข่าวปลอม โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 คน นั้น ไม่รู้จักกัน แต่มีความสนใจในเรื่องการเมืองในลักษณะเดียวกันจึงได้มีการแชร์ข่าวดังกล่าว และได้ส่งต่อไปยังกลุ่มเพื่อน ๆ และคนรู้จัก นอกจากนี้ ตรวจสอบประวัติไม่พบว่า ทั้ง 13 คน เคยมีประวัติการแชร์ข่าวปลอมหรือมีการร่วมกระบวนการแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจยังทราบแล้ว 1 รายที่เป็นบุคคลที่นำเข้าข้อมูล และสร้างคอนเทนท์แล้ว อยู่ระหว่างการติดตามตัว ส่งผู้ต้องหาอีก 5 รายจะเดินทางเข้าทราบข้อกล่าวหาภายใน 1 สัปดาห์นี้