วิตามินรวม(สมอง)เสมือนดูดีแต่ไม่ชะลอจริง


 

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ระบุว่า โรคสมองเสื่อมนั้น ไม่ว่าจะเป็นอัลไซเมอร์ หรือชื่อยี่ห้ออื่น ต่างก็เป็นโปรตีนพิษ บิดเกลียว และทำให้การทำงานเชื่อมโยงของสมองส่วนต่างๆผิดปกติ เซลล์สมองทำงานแปรปรวน จนกระทั่งตาย

ทั้งนี้โดยที่เซลล์ที่มีหน้าที่เก็บทำลายขยะ กลับสร้างการอักเสบที่มากเกินควรทำให้สมองเสียหายไปอีก

อย่างไรก็ดี แม้ว่าโรคเกิดขึ้นแล้วก็ตาม โดยการตรวจคอมพิวเตอร์สมองร่วมกับเวชศาสตร์นิวเคลียร์ MRI/PET scan หรือการตรวจโปรตีนที่ผิดปกติ จากการเจาะน้ำไขสันหลัง จนกระทั่งการตรวจในปัจจุบันซึ่งสามารถตรวจได้จากเลือด
แม้ว่าจะพบว่ามีโรคปะทุขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาการของโรคเหล่านี้จะโผล่มาให้เห็นเสมอไป ยังดูเหมือนเป็นคนปกติได้ซึ่งเราเรียกกันว่า resilience

โดยที่หมอเองชอบยกตัวอย่างว่า เวลาผู้หญิงหรือผู้ชายก็แล้วแต่ ไปทำโบทอกซ์ ฟิลเล่อร์ ลบริ้วรอยทำให้หน้าเต่งตึง เป็นการทำให้สวยและในที่สุดสภาพหน้าตาแท้จริงก็จะค่อยๆปรากฏ

โดยที่แตกต่างกับการที่มี resistance นั่นก็คือเกิดมามีชะตาชีวิตสุ่มเสี่ยงให้เกิดอัลไซเมอร์ โดยมียีนร้าย แถมยังมีปัจจัยส่งเสริมให้เกิดการอักเสบเกิดการดื้ออินซูลินในร่างกาย ทั้งอ้วนลงพุง เบาหวาน ความดัน ไขมัน แต่สมองกลับยังดี คนรอบข้างดูไม่รู้

เมื่อตายไป ตรวจเนื้อสมองกลับไม่พบว่ามีพยาธิสภาพของโรคสมองเสื่อม ซึ่งแนวป้องกันลักษณะเช่นนี้ เป็นที่ปรารถนาของมนุษย์โลกเพื่อว่า เผื่อว่าจะได้ปล่อยตัวปล่อยใจ กินอร่อย กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ออกกำลังกาย

แต่อนิจจา มาตรการระบบป้องกันที่ว่า ยังไม่เป็นที่ทราบแน่นอนว่าคืออะไร ทั้งนี้ อาจมีระบบละลายการอักเสบในร่างกายที่ทรงประสิทธิภาพสูงส่ง pro-resolving mediators และระบบโปรตีนบางชนิด และจะเกี่ยวเนื่องกับ “ความสุข” แค่ไหนหรือไม่ อย่างไร ยังไม่มีการพิสูจน์ชัด

แม้ว่าจะมีรายงานประปรายว่า คนทั้งอ้วน ทั้งกินเหล้า นั่งเฉื่อยแฉะ แต่ห้อมล้อมด้วยเพื่อนฝูงที่จริงใจ รู้ใจ เวลาตายกลับพบว่า เส้นเลือดโปร่งโล่ง สมองไม่พบว่ามีพยาธิสภาพสมองเสื่อม

ถึงตรงนี้อย่าเพิ่งเอาไปเป็นบรรทัดฐานในการใช้ชีวิตนะครับ ถือว่าเป็นส่วนเติมเต็มของชีวิตโดยที่ต้องปฏิบัติตัวดีทางอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย และต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิต ซึ่งย้ำเน้นมาตลอด นั่นก็คือการเอื้อเฟื้อช่วยชีวิต

กลับมาที่เรื่องที่ตื่นเต้นกันมาระยะหนึ่งแล้วคือ ที่มีรายงานว่าการใช้วิตามินรวมพ่วงกับโกโก้สกัด ทำให้สมองดี โดยเป็นการศึกษาชื่อ COSMOS-MIND หรือ COcoa Supplement and Multivitamin Outcomes Study for the Mind

การศึกษานี้ในระยะแรกเป็นการติดตามสามปี และพบว่าการทำงานหน้าที่ของสมอง ความจดจ่อ การรับรู้ความจำ การตัดสินใจในการทำงานดีขึ้น

โดยที่เป็นผลจากวิตามินรวมมากกว่าที่จะได้จากโกโก้สกัด สูตรวิตามินรวมที่ใช้ในการศึกษานี้ ได้แก่ ยี่ห้อต่างๆที่ใช้ทั่วไป เช่น Centrum silver. Pfizer consumer health care. now Haleon และสารสกัดโกโก้ cocoa extract (Mars Edge) ประกอบไปด้วยโกโก้ Flavonols 500 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมี (-)-epicatechin. 80 มิลลิกรัมและ theobromine ประมาณ 50 มิลลิกรัม

ประชากรที่อยู่ในการศึกษาต่อมานี้ มีจำนวน 2,262 รายด้วยกัน ทั้งนี้ มาจากกลุ่มการศึกษาแรกที่ได้กล่าวไปแล้ว

แต่เป้าประสงค์ของการศึกษานี้อยู่ที่ว่าจะสามารถชะลอหรือป้องกันไม่ให้สมองเสื่อมโผล่มาให้เห็นได้หรือไม่ เมื่อติดตามไปจนจบสามปี

โดยผู้ที่เข้าร่วมการศึกษานั้น จะต้องไม่มีประวัติของเส้นเลือดหัวใจตัน หรืออัมพฤกษ์ หัวใจวาย ได้รับการผ่าตัดหัวใจ หรือใส่ขดลวด ไม่มีประวัติของมะเร็ง ไม่มีโรคทางสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ และไม่เคยบริโภคโกโก้หรือวิตามินรวมมาก่อนและไม่แพ้โกโก้หรือกาแฟ โดยที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และแน่นอนไม่เป็นเบาหวาน

ทั้งนี้ ไม่เคยได้เข้าร่วมในการศึกษาที่มีการใช้วิตามินดี และน้ำมันปลาโอเมก้าสาม

ในการติดตาม จนกระทั่งจบสามปี พบว่าเกิดภาวะสมองเสื่อมขึ้นจริงที่ตรวจพบได้ในระดับนิดหน่อย mild cognitive impairment 110 ราย และสมองเสื่อม 14 ราย และการเกิดสมองเสื่อมดังกล่าวนั้นไม่ได้แตกต่างกันในกลุ่มที่ใช้วิตามินรวมหรือโกโก้สกัด

แต่เมื่อเปรียบเทียบคะแนนในการทดสอบ ต้นทุนทางสมองหรือพุทธิปัญญาโดยรวมนั้น พบว่ากลุ่มที่ได้วิตามินรวมดูจะมีภาษีดีกว่ากลุ่มที่ไม่ได้วิตามินรวม รวมทั้งหน้าที่ในการทำงาน (executive function) และความถดถอยในหน้าที่การทำงานของสมองในกลุ่มวิตามินรวม เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ดูจะน้อยกว่าในกลุ่มที่ไม่ได้วิตามินรวม ผลสรุปของการศึกษานี้แสดงว่าการได้รับวิตามินรวม และโกโก้สกัดไม่ได้ลดความเสี่ยงของการแสดงอาการสมองเสื่อมในช่วงระยะการติดตามสามปี

แต่ดูเหมือนว่าจะยังช่วยพยุงสมองให้ยังทำหน้าที่ได้สดใสอยู่บ้าง เปรียบได้กับ resilience ที่ได้เรียนให้ทราบไว้ในตอนต้น

และน่าจะเป็นตัวแทนของยาสมองเสื่อมที่ใช้กันดาษดื่นในปัจจุบันโดยที่เป็นการกระตุ้นสมองอย่างเดียวให้ทำงานมากและอาจจะมีผลกระทบทำให้เซลล์สมองหมดแรงเร็วขึ้นและอายุสั้น

สำหรับคนไทยเราอาจไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องเสริมด้วยวิตามินยี่ห้อต่างๆที่มีในการศึกษานี้

ทั้งนี้ การบริโภคอาหารสุขภาพที่เราท่องขึ้นใจกันแล้วว่า คือ ผัก ผลไม้ กากใย วันละครึ่งกิโล ไก่ได้บ้าง เนื้อไม่เอา ปลาได้ ถั่วได้ แป้งได้แต่น้อย และออกกำลัง เท่านี้ก็จะได้สิ่งต่างๆครบถ้วน และเป็นที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลอความเสี่ยงของการแสดงอาการของสมองเสื่อมได้

รวมทั้งมีการพิสูจน์กลไกในการต้านกระบวนการของสมองเสื่อมได้เช่นกัน

โดยอาจจะเป็นไปได้ว่า อาหารตามธรรมชาตินั้นมีส่วนประกอบหลากหลายมากกว่าที่จะเป็นจากการสกัดตัวใดตัวหนึ่งและมีการออกฤทธิ์ประสานงานกันทั้งโขลง และง่ายกว่าไม่ใช่หรือครับแถมไม่ต้องเสียสตางค์เพิ่มขึ้นอีกด้วย